วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด
สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

 "ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

"ฮีโมโกลบิน" มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน

           ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
           โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

          เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67 

          ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่ มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

           กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล

           กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น


5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต


 1.ทับทิม 


          ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม
 


 2.แก้วมังกร


          อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)
 


 3.สตรอว์เบอร์รี่


          ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น
 


 4.กล้วย


          ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี


                                         5.แตงโม


          จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

          ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิต เลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่ มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

7 วิธีเอาชนะริ้วรอย

ในปัจจุบันอาจพบผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอยบนเคาน์เตอร์ความงามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่อวดสรรพคุณว่าซึมลึกฟื้นฟูเซลล์ผิวสู่ระดับยีน แต่อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในแบบง่ายๆ ก็นับเป็นทางลัดที่ช่วยป้องกันและต่อต้านริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะ 7 วิธีคืนผิวสวยต่อไปนี้ 





1. ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด   
แม้ริ้วรอยก่อนวัยเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์หากอายุเพิ่มมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้เกิดริ้วร้อยบนใบหน้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม พบว่าริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้านั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากแสงแดดที่เรามองเห็นถึงร้อยละ 90 เลยทีเดียว และริ้วรอยจะไม่ปรากฏให้เห็นในขณะที่คุณกำลังมีอายุน้อย แต่มันจะโผล่บนหน้าก็ต่อเมื่อคุณเริ่มมีอายุมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องริ้วรอยก่อนวัย แนะนำว่าคุณสาวๆ ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF15 เป็นประจำทุกวัน (รวมถึงในวันที่มีเมฆมากเพราะแสงยูวีจะส่องผ่านทะลุก้อนเมฆได้) ส่วนในวันที่มีแดดแรงก็ควรทาครีมที่มี SPF สูงๆ สลับกันไป เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้แล้ว 






2. เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสูง 
การรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ก่อให้เกิดปัญหาริ้วรอยได้ นอกจากนี้ น้ำตาลซึ่งเป็นเครื่องชูรสให้กับอาหารของหลายๆคน ก็สามารถทำให้เกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกกันว่า “ไกลเคชั่น” หรือภาวะน้ำตาลที่เหลือใช้ในร่างกาย ไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนทำให้เกิดสารพิษ และส่งผลให้คอลลาเจนในผิวเกิดภาวะแข็งตัว และลดจำนวนลงจนนำไปสู่การเกิดริ้วรอยนั่นเอง ดังนั้นแนะนำว่าก่อนบริโภคอาหารทุกชนิดควรตรวจสอบว่ามีน้ำตาล เป็นส่วนประกอบมากน้อยเพียงใด แต่ทางที่ดีการงดอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลในปริมาณที่สูง นอกจากจะช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวแล้ว ยังป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย 






3. งดสูบบุรี่ 
“บุหรี่” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแก่ผู้สูบเท่านั้น แต่มันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มันกำลังนำมาซึ่งหายนะสำหรับผิวพรรณของคุณ เนื่องจากควันบุหรี่สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว และยังเป็นตัวขัดขวางออกซิเจนและสารอาหาร นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังก่อให้เกิดริ้วรอยขึ้นที่รอบปากด้วย 






4. เก็บกักน้ำในร่างกาย 
หากคุณสาวๆ ต้องการให้ผิวอ่อนนุ่มและเรียบเนียน ดังนั้นการเก็บกักน้ำที่เป็นส่วนประกอบหลักของร่างกายให้คงสภาพอยู่ทั้งผิวภายในและภายนอกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การดื่มน้ำตลอดวันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวภายในของคุณได้ ขณะเดียวกัน ก็ควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง ส่วนการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวภายนอก แนะนำว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของวิตามินอี ซึ่งสกัดได้จากผลอะโวคาโด้และเมล็ดอัลมอนต์ เพราะน้ำมันเหล่านี้จะช่วยหล่อเลี้ยงผิวของคุณให้ชุ่มชื่น เพื่อรับมือกับผิวแห้งที่เกิดจากเครื่องทำความร้อน ตลอดจนเครื่องปรับอากาศทำความเย็นนั่นเอง 






5. ตรวจวัดสายตาเป็นประจำ 
บริเวณรอบดวงตาเป็นจุดที่ก่อให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะรอยตีนกา ซึ่งริ้วรอยเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นจากอาการนั่งขมวดคิ้ว หรืออาการสายตาเอียงอันเกิดมาจากปัญหาสายตา ดังนั้นหากคุณสาวๆ พบว่าตัวเองกำลังประสบปัญหาสายตาเอียง หรือขาดการมองเห็นที่ดีนั้น แนะนำว่าคุณควรไปตรวจวัดสายตาและตัดแว่น หรืออาจเพิ่มทางเลือกให้กับสายตาด้วยการใส่คอนแทคเลนส์ในกรณีที่จำเป็น 






6. รับประทานอาหารต่อต้านริ้วรอย 
ต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยสารอนุมูลต้านอิสระ และกรดไขมันโอเมก้า 3 เพราะโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นจากภายในสู่ภายนอก และยังช่วยป้องกันการระเหยของน้ำในผิว ซึ่งเป็นสาเหตุของความแห้งกร้าน ขณะเดียวกันสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่พบในผักและผลไม้ที่มีวิตามินอีและวิตามินซี เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ผลเบอรี่ และผักโขมที่มีสารลูทีนเป็นส่วนประกอบหลัก จากผลวิจัยล่าสุดได้ชี้ให้เห็นว่าพืชผักเหล่านี้ นอกจากจะช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวแล้ว ยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากอนุมูลอิสระด้วยเช่นกัน 






7. หลีกเลี่ยงความเครียดที่เป็นต้นเหตุของริ้วรอย 
อย่างที่ทราบกันดีว่าความเครียดนั้นเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมไปถึงความเหี่ยวย่นและริ้วรอยก่อนวัยอันควร ดังนั้นแนะนำให้ลองลดระดับความเครียดลง ด้วยการนั่งสมาธิและออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะเป็นประจำ จะช่วยลดสาเหตุของการเกิดริ้วรอยได้ 



ที่มา :  http://webboard.yenta4.com/topic/532084
ภาพ :  อินเตอร์เน็ต 

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ

คุณผู้หญิงหรือใคร ๆ ก็ตามที่รักสวยรักงามไม่ควรพลาดกับประโยชน์ของมะเขือเทศที่เรากำลังจะนำมาบอกเล่ากล่าวให้ได้ฟังกันในวันนี้ค่ะ และไม่แค่เพียง ประโยชน์ของมะเขือเทศ เท่านั้นนะค่ะเรายังมี สรรพคุณของมะเขือเทศ มาบอกกันอีกด้วยค่ะ เพราะมะเขือเทศนั้นเป็นที่รู้กันดีถึงเรื่องความงามและเรื่องผิวพรรณแต่คุณรู้บ้างรึเปล่าค่ะว่า สรรพคุณของมะเขือเทศ นั้นก็จัดเป็นสมุนไพรชั้นดีอีกชนิดหนึ่งเลยทีเดียวค่ะที่ช่วยในการรักษาบ้างโรคได้เป็นอย่างดี นั้นเรามาทำความรู้จักกับ สรรพคุณของมะเขือเทศ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ


สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะเขือเทศ


- ใบหน้าเปล่งปลั่งสดชื่น


กรดผลไม้ในมะเขือเทศมีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดลอกทำให้ผิวเปล่งปลั่ง นำมะเขือเทศขนาดปานกลาง 1 ผลไปบดให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่น กรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาน้ำเติมนมข้นจืดในปริมาณเท่ากับน้ำมะเขือเทศที่ได้นำส่วนผสมที่ได้มาลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก


- ล้างพิษด้วยน้ำมะเขือเทศ


มะเขือเทศอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ ซี และอี ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย นำมะเขือเทศหั่นเป็นชิ้น ๆ จำนวน 450 กรัม น้ำมะนาว 2 ช้อนชาใส่ในเครื่องปั่น เติมเกลือและพริกไทยอีกประมาณหยิบมือปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากันดื่มเป็นประจำทุกเช้าจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า


- ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง


ใครจะคิดบ้างว่าการกินซอสมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปลายลำไส้ใหญ่และปลายทวารหนักได้ถึง 60% และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งที่อัณฑะในเพศชาย มีหลักฐานระบุว่า มะเขือเทศปรุงสำเร็จรูปมีไลโคปีน (Iycopene) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นอย่าลืมให้ซอสมะเขือเทศเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องปรุงอาหารของคุณ รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ากินทิ้งขว้างเหยาะให้เกลี้ยงไม่ให้ติดเหลือก้นขวด


- ลดการบวม


โปแทสเซียมจำนวนมากในมะเขือเทศช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อลดบวมตามร่างกายหรือที่เรียกว่าบวมน้ำ บรรเทาอาการอักเสบบวม อย่าลืมรับประทานสลัดที่มีมะเขือเทศเป็นอาหารมื้อต่อไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health plus ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต