วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เชื่อไหม? ดูหนังโป๊มากไป กระทบต่อชีวิตให้แย่ลง



เชื่อไหมดูหนังโป๊มากไป กระทบต่อชีวิตให้แย่ลง


          ยอมรับมากันซะดี ๆ ว่า ไม่มี (ผู้ชาย) คนไหนไม่เคยดูหนังโป๊หรอก ยังไงก็ต้องเคยดูผ่านตากันมาบ้างอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรหรอกที่สนใจหนังสยิวกิ้ว เร้าอารมณ์ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หากดูมากจนกลายเป็นหมกมุ่นแล้วล่ะก็ งานนี้คงแย่แน่ เพราะมีผลงานการวิจัยชิ้นหนึ่งเผยให้ทราบว่า การดูหนังโป๊มากเกินไป ส่งผลกระทบต่อชีวิตคุณอย่างคาดไม่ถึง

          โดยผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเมืองซิดนี่ย์ (The University of Sydney) ประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า ผู้ที่หลงใหลการดูหนังโป๊เป็นชีวิตจิตใจ มีแนวโน้มว่ามีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคู่รัก และมีโอกาสที่จะตกงานอีกด้วย

          ในขณะที่การวิจัยยังอยู่ในระหว่างการศึกษาขั้นต้น แต่กลับพบผลที่น่าประหลาดใจ เมื่อลองทำการสำรวจคนพบว่า 47 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มทดลอง ใช้เวลาดูหนังโป๊ราว 30 นาที ถึง ชั่วโมงต่อวัน โดย 30 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาลดลงจากเดิม และอีก 20เปอร์เซ็นต์ อยากดูหนังโป๊มากกว่ามีเซ็กส์กับคนรักของตัวเองเสียอีก!! ซึ่งผลการสำรวจดังกล่าวพบว่า ส่วนใหญ่เป็นชายที่แต่งงานแล้วแทบทั้งสิ้น

          ใครเลยจะคิดล่ะว่า หนังโป๊ จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตคนได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อ 50 ปีก่อน เรามีโอกาสได้เห็นผู้หญิงเปลือยตามนิตยสารปลุกใจเสือป่าเท่านั้น แต่ลองดูทุกวันนี้สิ เมื่ออินเทอร์เน็ตได้เปิดโอกาสให้ผู้คนได้เข้าไปหาดูหนังโป๊ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมันถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตคนได้มาก จนละเลยสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวไปอย่างน่าใจหาย...

          อย่างไรก็ดี แม้ผลงานวิจัยอาจไม่สามารถวัดค่าได้ชัดเจน แต่อย่างน้อยมันก็สะท้อนให้เห็นได้ชัดว่า มนุษย์หลงใหลในสิ่งเร้าทางสายตาได้มากกว่าที่คิด


แต่งหน้าให้ดูดีสำหรับ คนที่ รูขุมขนกว้าง


แต่งหน้าให้ดูดีสำหรับ คนที่ รูขุมขนกว้าง


          
ปัญหารูขุมขนกว้าง นับเป็นปัญหาที่ทำให้สาว ๆ กลุ้มใจไปตาม ๆ กัน เพราะนอกจากจะแก้ได้ยากแล้ว ยังทำให้แต่งหน้าออกมาดูไม่เนียนใสอีกด้วย มีเคล็ดลับการดูแลผิวหน้าและแต่งหน้าสำหรับสาว ๆ ที่มีรูขุมขนกว้างมาฝาก ให้สาว ๆ ได้เอาไปใช้กันค่ะ ไปดูกันเลย

          
1. ใช้คลีนเซอร์และโทนเนอร์ก่อนลงเครื่องสำอาง โดยใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวเพื่อกำจัดและช่วยยับยั้งความมันบนใบหน้า ส่วนโทนเนอร์ให้เลือกที่เหมาะสมกับผิว แล้วใช้สำลีชุบก่อนเช็ดให้ทั่วใบหน้าจนรู้สึกถึงความสะอาด
          2. ใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นเป็นตัวช่วยในการกระชับรูขุมขน การใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นทาบนใบหน้านอกจากจะทำให้รูขุมขนกระชับแล้วยังเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย ดังนั้นการใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นทาใบหน้าไม่ได้ทำร้ายผิวหน้าคุณเลยค่ะ ทำทุกวันได้ ไม่เสียหาย แถมให้ผลดีอีกด้วย

          
3. ทามอยซ์เจอไรเซอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ให้ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิว แต่สำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้างแล้ว ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ให้ถูกวิธี โดยค่อย ๆ นวดมันให้ซึมซับลงในผิวเบา ๆ การลงมอยซ์เจอไรเซอร์นอกจากจะบำรุงผิวแล้วยังทำให้คุณเกลี่ยรองพื้นได้ง่ายและติดทนนานอีกด้วย

          
4. เมื่อทามอยซ์เจอไรเซอร์แล้ว ให้ทาผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันเป็นอันดับต่อไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความมันค่ะ

          
5. ใช้เมกอัพไพรเมอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้เครื่องสำอางบนใบหน้าติดทนนาน เหมาะกับสาวหน้ามันที่มีปัญหาเครื่องสำอางลบเลือนเพราะความมันระหว่างวันโดยเฉพาะ ดังนั้นควรลงไพรเมอร์ก่อนทารองพื้นทุกครั้งเพื่อความสวยที่ยาวนานค่ะ

          
6. ลงรองพื้น ถึงแม้ว่าสาว ๆ จะใช้รองพื้นในการปกปิดรูขุมขนที่กว้างให้ดูเนียนขึ้น แต่พยายามหลีกเลี่ยงการใช้รองพื้นที่มากเกินไปนะคะ เพราะมันยิ่งจะทำให้รองพื้นไปอุดตันรูขุมขนจนยิ่งเห็นรูขุมขนชัดขึ้นไปอีก ดังนั้น คุณควรใช้รองพื้นแบบน้ำที่กลมกลืนไปกับผิวหน้าดีกว่า แล้วตามด้วยแป้งฝุ่นค่ะ

          
7. ไม่ควรใช้แป้งผสมรองพื้น เพราะคุณลงรองพื้นไปแล้ว ดังนั้นให้ลงแป้งฝุ่นเท่านั้น เพราะแป้งผสมรองพื้นจะทำให้หน้าดูหนักมากขึ้นไปอีก แล้วยิ่งคุณหยิบมันมาตบแป้งระหว่างวันแล้ว ยิ่งทำให้รองพื้นหนาชั้นขึ้น จนอุดตันรูขุมขนและในที่สุดรูขุมขนของคุณก็จะยิ่งกว้างขึ้นไปอีกด้วย
ขอบคุณ ข้อมูล จาก กระปุกดอทคอม

20 สุดยอออาหาร เพื่อสมองสดใส


20   สุดยอออาหาร เพื่อสมองสดใส 

          
เมื่อเร็ว ๆ นี้เห็นมีข่าวเด็กไทย IQ ต่ำ เพราะว่าขาดไอโอดีน แต่รู้มั้ยว่านอกจากนั้นแล้ว สมองของเรายังต้องการสารอาหารอีกมากมาย เพื่อให้เฉียบแหลมอยู่เสมอ

1.บลูเบอร์รี่

          ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้นล่ะค่ะ

2.แซลมอนธรรมชาติ

          กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงนะคะ

3.ทับทิม

          คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะคะ

4.กาแฟ

          เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5.ถั่ว

          ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง  แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

6.ทูน่า

          นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน

7.ข้าวกล้อง

          ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8.ชาเขียว

          ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9.เมล็ดพืช

          ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10.ข้าวโอ๊ต

          ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

11.หอยนางรม

          ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย

12.ผักใบเขียว

          ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหน ควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็ก ก็อาจมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่น ๆ

13.มะเขือเทศ

          แม้ใคร ๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศ ก็มีประโยชน์น่ะสิจริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาล เช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ

14.น้ำมันมะกอก

          อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบ หรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี

15.น้ำสะอาด

          เพื่อสมองที่แจ่มใส จะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว

16.ผงกะหรี่
          เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติ ให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ

17.ไข่

          มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

18.โยเกิร์ต

          เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้น ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่าง ๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว

19.ช็อกโกแลต

          ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)
20.กระเทียม

          ถ้าไม่สงสารคนนอนข้าง ๆ ก็กินกระเทียมสด ๆ เลย เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก   LISA

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หัวเราะวันละนิด อายุยืนนะจ๊ะ



เคล็ดลับอายุยืนที่ไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาทคือการมองโลกในแง่ดีนั่นเอง 
โดยนักวิจัยจาก Albert Einstein College of Medicine และ Yeshiva university พบว่า ลักษณะนิสัยบางประการจะทำให้คนเราอายุยืนยาวขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะคนที่มองโลกในแง่ดี หัวเราะบ่อยๆ และมีนิสัยสบายๆ ทั้งที่แรกเริ่มนั้น ดร.นพ. Nir Barzilai ผู้ทำการวิจัย ตั้งสมมติฐานว่าคนเราจะมีชีวิตยืนยาวขึ้นถ้าเราตระหนี่ถี่เหนียวด้วยซ้ำ แต่กลับพบว่าในบรรดาคนที่มีอายุยืนถึง 100 ปี 243 คน การมองโลกในแง่ดี กล้าแสดงออก และไม่เรื่องมาก เป็นนิสัยที่เด่นชัในกลุ่มนี้ เมื่อปีที่แล้ว วารสาร Proceedings of The National Academy of Sciences พบว่าคนชราที่มีความสุขจะอายุยืนกว่าคนที่ไม่ความสุขถึง 5 ปี

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มือชา อาการไม่ธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นกับคุณ


มือชา


          อาการมือชาอาจเกิดขึ้นกับคุณได้ ถ้าอยากรู้ว่า มือชาเกิดจากสาเหตุอะไร และมีวิธีป้องกัน หรือรักษาได้หรือไม่ ตามมารู้จักอาการมือชา จาก นพ.ภานุพันธ์ ทรงเจริญ กันเลย

          โรคมือชา เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยวัยกลางคน โดยมากมักเกิดกับเพศหญิงมากกว่าชาย ซึ่งเกิดจากการใช้งานของมือในลักษณะที่ต้องมีการกระดกข้อมือ หรือกำยืดนิ้วมือตลอดวัน ซึ่งกลุ่มที่พบได้แก่ แม่ครัว ช่างทำผม แม่บ้านทำความสะอาดกวาดบ้าน หรือคนทำงานในออฟฟิศที่ต้องรับโทรศัพท์ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ และกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีข้อต่อกระดูกคอเสื่อม การขาดวิตามินบี จะมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดมือชาได้

          ทั้งนี้ อาการจะเริ่มชาที่ฝ่ามือและนิ้วมือ ในขณะที่ใช้มือทำงานอย่างต่อเนื่อง และถ้าเป็นมากอาจมีอาการชาจนเป็นเหน็บในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน และมีอาการปวดตอนกลางคืนจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อขยับมือหรือบีบนวดฝ่ามือ และถ้าปล่อยไว้นานจะมีอาการอ่อนกำลังของมือ หยิบจับสิ่งของแล้วร่วงหล่น จนถึงขั้นมีการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อมือในที่สุด

มือชา

          สาเหตุของมือชา ส่วนมากเกินจากการหนาตัวของเอ็นยึดกระดูกบริเวณข้อมือ หรือที่บริเวณอุโมงค์ข้อมือ เอ็นนี้จะไปกดรัดเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ฝ่ามือ และเส้นประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกที่ฝ่ามือ การเคลื่อนไหวของข้อมือมาก ๆ ทำให้เกิดการระคายมากขึ้น

          สำหรับการดูแลป้องกันต้องเริ่มจากการลดการใช้งานข้อมือที่ทำงานหนัก ๆ ปรับท่าทางการทำงานของมือให้เหมาะสม ระหว่างการทำงาน ข้อมือจะต้องไม่งอมากจนเกินไปควรใช้อุปกรณ์ช่วยประคองข้อมือสำหรับคนใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อมือมีที่พัก เมาส์ที่ใช้ก็ต้องมีขนาดพอดีมือ ไม่เล็กจนเกินไป เพราะจะทำให้ข้อมือเกร็งมากขึ้น

          การรักษา ถ้าผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง จะให้ยาต้านการอักเสบของเส้นเอ็นและเส้นประสาท การให้วิตามินบี จนถึงขั้นสุดท้ายคือ การผ่าตัดเอ็นที่ไปกดรัดเส้นประสาทนั้น ฉะนั้นการดูแล ป้องกัน และถนอมข้อมือ เพื่อให้เราได้ใช้งานนาน ๆ เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ การใช้งานข้อมือที่ผิดท่า ผิดวิธี อาจนำมาซึ่งการรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น


   

เกร็ดความรู้เรื่องดวงตา



เกร็ดความรู้เรื่องดวงตา (womanplus)

          รู้หรือไม่ว่าผิวที่มีอาการแพ้ระคายเคือง บวมแดง และมีริ้วรอยที่เกิดขึ้นจาก  "ธาตุไฟไม่สมดุล" สามารถเกิดขึ้นเช่นกันกับผิวละเอียดอ่อนบริเวณรอบดวงตา อาการธาตุไฟไม่สมดุลนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ง่าย โดยอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา รวมทั้งปัจจัยความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญ อาการจะแสดงออกมาในรูปแบบของความหมองคล้ำ บวมแดงอย่างเห็นได้ชัดกว่าบริเวณอื่นๆ 

          ทั้งนี้เพราะผิวบริเวณรอบดวงตานั้นมีความละเอียดอ่อน และบอบบางมากกว่าผิวในบริเวณอื่นๆ และยังเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ไวต่อการร่วงโรยและถูกทำร้ายได้ง่าย และคุณรู้อีกหรือไม่ว่า คุณเองอาจจะทำร้ายผิวบริเวณรอบดวงตาให้ช้ำ หมองคล้ำมากขึ้น เพราะการทำความสะอาดผิวหรือเมคอัพรอบดวงตาก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวแสนบอบบาง

          เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ของดวงตาจาก ดร.แอนดรูว์ ไวล์
          เข้ารับการตรวจตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี สำหรับอายุ 65 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ที่ต้องจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10-15 นาที สวมใส่แว่นตาดำที่สามารถปกป้อง และกรองแสงยูวี ทุกๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง

          อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
          บริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti oxidant) ในปริมาณสูง
          เช่น ผิวบิลเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ พร้องทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อยๆ ดีกว่า

          บริโภคผัก ผลไม้ ที่มาสรลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)
          เป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม ที่สามารถพบได้ในผลอโวคาโด บล็อกโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา

          บริโภคสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ