วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

จอ touch screen ใช้ง่าย แต่เชื้อโรคตรึม




จอ touch screen ใช้ง่ายแต่ไวรัสตรึม (Momypedia)

          อย่านอนใจว่าไฮเทค จนลืมตรวจเช็คความสะอาดจนไม่สบาย

          คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าคะที่มีอุปกรณ์ไฮเทคแบบ touch screen ติดตัวไว้เท่ห์เสมอ ๆ แต่รู้ไหมคะว่า การที่คุณพกของเหล่านี้แล้วไม่ดูแลให้ดี มันก็เหมือนคุณพก "ส้วม" ไปไหนมาไหนด้วยไม่มีผิด

          เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก ทิมโมธี จูเลียน นักศึกษาปริญญาเอกแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่กล่าวว่า จากผลการศึกษาพบว่า หน้าจอทัชสกรีนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคดี ๆ นี่เอง เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่า ก่อนที่ไปสัมผัสหน้าจอ มือและนิ้วของคุณไปสัมผัสกับสิ่งสกปรกอะไรมาบ้าง และคนโดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีอนามัยมากพอที่จะล้างมือตลอดเวลา หรือล้างมือก่อนมาใช้จอทัชสกรีน 

          เขายังกล่าวเสริมให้น่าตกใจอีกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนำสิ่งสกปรกมาสัมผัสหรือสะสมไว้ที่หน้าจอ เชื้อโรคประมาณ 30% จะติดไปกับนิ้วมือคุณทันทีที่คุณแตะจอทัชสกรีน และมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่เชื้อโรคเหล่านี้จะเข้าสู่ร่างกายทางปาก จมูก และดวงตา เพราะคุณอาจใช้นิ้วขยี้ตา จับปากหรือเกาจมูกโดยไม่รู้ตัว 

          นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยของอังกฤษระบุว่า โทรศัพท์มือถือที่เราต้องนำมาใช้แนบแก้มแนบหูกันตลอดเวลา ก็มีสิ่งสกปรกมากกว่าที่คันกดชักโครกในห้องน้ำชายถึง 18 เท่าเลยทีเดียว โดยเฉพาะเชื้อโรคที่มีชื่อว่า E. coli และ Staphyloccocus aureus ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง สิว  ฝีหนอง และถ้าได้รับเชื้อมาก ๆ ก็ทำให้ปอดอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือดได้เลยทีเดียว 


เตือนภัยสุขภาพ


          น่ากลัวใช่ไหมล่ะคะ แค่อุปกรณ์ไฮเทคที่ใช้กันเพลิน จนเราลืมไปว่า มันก็สามารถสะสมเชื้อโรคได้เช่นกัน แต่เขาก็มีวิธีแนะนำในการใช้ และทำความสะอาดอุปกรณ์ทัชสกรีนมาเพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อโรคด้วยค่ะ ลองไปดูกันเลย

          1. ใช้นำยาทำความสะอาดหน้าจอทัชสกรีนโดยเฉพาะ ทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง หรือเมื่อเห็นว่าหน้าจอมีคราบสิ่งสกปรกติดอยู่
  
          2. ไม่ควรใช้อุปกรณ์ทัชกรีนร่วมกับผู้อื่น เพราะอุปกรณ์อาจจะได้รับเชื้อโรคจากคนอื่น หรือแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ แต่หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน ก็ควรทำความสะอาดทุกครั้งหลังจากใช้เสร็จ

          3. ควรล้างมือทั้งก่อนและหลังใช้อุปกรณ์ทัชสกรีน อาจจะยุ่งยากไปหน่อย แต่ก็สามารถช่วยยับยั้งการแพร่เชื้อโรคได้ดีที่สุด

          4. ระหว่างใช้อุปกรณ์ทัชสกรีน ไม่ควรใช้มือ หรือนิ้วมาสัมผัสร่างกาย ในส่วนที่เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เช่น ตา ปาก จมูก รูหู หรือผิวหนังบริเวณที่มีบาดแผล

          5. หลังจากใช้อุปกรณ์เสร็จแล้ว ควรเก็บในที่มิดชิด เช่น ใส่กระเป๋าเก็บอุปกรณ์โดยเฉพาะ ไม่ควรวางไว้ในที่โล่ง หรือที่ที่เชื้อโรคจะสามารถแพร่กระจายมาสู่อุปกรณ์ของเราได้

          ไม่ใช่แต่อุปกรณ์ทัชสกรีนหรือเครื่องมือทันสมัยเท่านั้นค่ะ สิ่งของรอบตัวที่เราอาจจะต้องใช้ร่วมกับคนอื่น เราก็ต้องระวังไว้เช่นกัน เช่น ราวบันได ปุ่มกดในลิฟท์ เก้าอี้นั่งบนรถเมล์หรือรถไฟฟ้า สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ที่เรามักจะไปสัมผัสโดยไม่รู้ตัวเช่นกันค่ะ และถึงแม้เราจะตามไปทำความสะอาดของพวกนี้ไม่ได้ แต่ให้รักษาความสะอาดของตัวเราเองเป็นหลักก็พอค่ะ

เปลี่ยนวันสุดเซ็งให้สดใส ด้วยสารพัดเรื่องที่ช่วยให้คุณยิ้มออก





          คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่มีอาการแบบนี้ บางวันก็ตื่นมาพร้อมความสดชื่น อารมณ์ดี มองไปทางไหนก็สดใสไปหมด ไม่ว่าจะทำอะไรในวันนั้นก็ดูแสนจะราบรื่น แต่ก็ยังมีอีกบางวัน (หรือหลาย ๆ วัน) ที่คุณไม่ได้ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ร่าเริงชื่นบาน บางทีก็ตื่นมาแล้วก็ยัง.. เอ่อ เมาค้าง บ้างก็อารมณ์เสียเพราะเพิ่งทะเลาะกับแฟนมา บางทีก็สะดุ้งตื่น เพราะจิตใต้สำนึกปลุกให้ลุกขึ้นมาชำระสะสางงานที่ค้างสุมไว้ .. ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ตามที แต่มันก็ทำให้วันที่น่าจะเป็นวันดี ๆ กลายเป็นวันป่วย ๆ ไปเสียอย่างนั้น

          เอาน่า ถึงจะเริ่มต้นวันไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องอารมณ์บูดไปทั้งวันนี่นา มาหาเรื่องกระตุ้นเรียกรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของตัวเองกันดีกว่า ว่ากันว่าหากพยายามทำเรื่องสนุก ทำตัวให้มีความสุข แล้วอารมณ์สนุกและความสุขจริง ๆ ก็จะตามมาเอง ถ้าอย่างนั้นมามะเชิญมาลองดูนี่สิ เว็บไซต์ tinybuddha เขาได้สรรหาวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยกระตุกให้มุมปากของคุณยกยิ้มขึ้นมาได้ วันสีหม่นของคุณจะได้เปลี่ยนเป็นวันสดใส ไปดูกันเถอะ !! 

เคล็ดลับสุขภาพ

           โทรหาเพื่อนสักคน เอาคนที่ชอบเล่นโจ๊กฮา ๆ ให้เพื่อนฟังเป็นนิสัย แค่ยกหูไปแล้วบอกว่า "วันนี้เราโคตรเซ็งเลยอะ" เดี๋ยวได้เจอมุกฮา (ที่ไม่รู้ว่าจะแป้กไหม) หยอดกลับมาเป็นกระบุง

           รื้อโปสการ์ด จดหมาย หรือเปิดอีเมลเก่า ๆ ที่ได้รับจากเพื่อนสนิทขึ้นมาอ่าน การได้หวนคิดถึงมิตรภาพของวันเก่านี่ทำให้เรายิ้มได้จริง ๆ นะ 

           ส่งข้อความหาเพื่อน "วันนี้ทำอะไรฮา ๆ มาบ้างเนี่ย" อีกแป๊บเดียวคุณคงได้อ่านข้อความเล่าเรื่องเปิ่น ๆ ที่ชวนให้คุณหัวเราะให้กับความเงอะงะของเพื่อนล่ะ 

           ส่งรูปหรือข้อความฮา ๆ ของคุณไปให้เพื่อน หรือคนรัก แล้วให้อีกฝ่ายลองตอบกลับมาด้วยเรื่องฮา ๆ ทำนองเดียวกัน .. ถ้าคุณว่าของคุณฮาแล้ว ของเพื่อนอาจจะฮากว่าก็ได้นะ  

เคล็ดลับสุขภาพ

           ชวนคนสนิทให้มาอยู่เป็นเพื่อน 

           กระซิบบอกลูกน้อย วันนี้ช่วยกอด คุณพ่อ/แม่ หน่อยสิจ๊ะ อ้อมแขนเล็ก ๆ ที่โอบรอบคอ กับเสียงงุ้งงิ้งเล็ก ๆ น่ารักข้างหูจะทำให้คุณยิ้มออกได้นะ 

           บอกให้ลูกวาดภาพของคุณให้ดูหน่อย .. ฝีมือวาดภาพของจิตรกรน้อยยังไงก็ชวนให้ยิ้มออกทุกที

           เอาหน้าให้ลูกยืมเล่นแต่งหน้า .. นี่เป็นวิธีที่ดีมากนะ ถ้าคุณไม่เสียดายเครื่องสำอาง (หรือว่าจิ๊กคุณศรีภรรยามาใช้แล้วเธอไม่ว่า ก็เอาเล้ย!)

กาแฟ

           พักเบรกสักแป๊บด้วยกาแฟแก้วโปรด หรือขนมที่ชื่นชอบ

           จัดห้องหับเสียใหม่ การได้ยกขยับสับเปลี่ยนตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนบรรยากาศของห้องได้ และอาจทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นด้วย 

           โยนลูกบอลไหมพรมให้เจ้าเหมียวเล่น แล้วนั่งดูมันง่วนกับการฟัดกับก้อนไหมพรม .. เห็นมันเล่นอย่างนี้ทีไร อดยิ้มขำขันเอ็นดูไปด้วยไม่ได้ทุกที 

ฟังเพลง

           เปิดเพลงโปรดดัง ๆ แล้วแดนซ์ให้ลืมโลกไปเลย

           ทำขนมที่เคยชอบกินเมื่อตอนเด็ก ๆ อาจจะเป็นไอศกรีมสักลูกกับเยลลี่หมีจอลลี่แบร์ก็ได้ ได้ละเลียดรสชาติอร่อยง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน กินเพลิน ๆ ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นได้นะ 

           เขียนจดหมาย (ด้วยลายมือ) หาคนที่คุณรัก .. ถ้าไม่ได้อยู่ไกลกัน เขียนเสร็จแล้วไม่ต้องติดแสตมป์ส่งก็ได้นะ พับใส่ซองแล้วเอาไปเหน็บไว้ในไดอารี่ หรือหนังสือที่เธอจะต้องหยิบขึ้นมาอ่านแน่ ๆ แล้วแอบรอดูความเซอร์ไพรส์ นี่ก็จะกลายเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง

           ดูอัลบั้มรูปเก่า ๆ .. เห็นตัวเองเมื่อสัก 10 กว่าปีที่แล้วบางทีก็อดขำไม่ได้ แบบว่าแต่งตัวทำผมอะไรเนี่ย เชยมากกกกก

ทาเล็บ

           ทาเล็บสีที่ชอบ .. เรื่องสวย ๆ งาม ๆ นี่ช่วยให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นได้จริง ๆ นะ

           โทรหาเพื่อนเก่า คุยเรื่องวีรกรรมเก๋า ๆ ที่เคยผ่านมาด้วยกัน 

           เปิดแมกกาซีน ตัดรูป หรือบทความที่ชอบมาแปะไว้ในไดอารี่ส่วนตัว กิจกรรมนี้ทำได้เพลิน ๆ ได้ดูอะไรสวย ๆ งาม ๆ แล้วก็ชวนอารมณ์ดีด้วย 

           ใส่ถุงเท้าสลับข้างกัน มันเป็นโจ๊กเล็ก ๆ ที่มีแต่คุณเท่านั้นที่รู้ แบบว่าพอขากางเกงเต่อขึ้นมาแล้วมันอดเปิ่น ๆ ให้ตัวเองไม่ได้จริง ๆ และยังสนุกตรงที่ต้องแอบไว้ไม่ให้คนอื่นเห็นนี่แหละ :P

ถ่ายรูป

           คว้ากล้องมาคล้องคอ ออกไปหาวิวดี ๆ มุมสวย ๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ดู 

           ตื่นเช้ารอดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือนั่งรอชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ทุกวัน (วันละ 2 เวลาด้วยนะเออ) จะชวนเพื่อน ๆ มาร่วมจอยกิจกรรมชิล ๆ นี้ด้วยก็ได้ กินขนม เคล้าเครื่องดื่ม (ไม่มึนเมา) คุยเล่นกันไป พลางชมวิวสวย ๆ .. สุขใจดีออก 

ความรัก

           บอกคนที่คุณรักว่าเขาสำคัญกับคุณเช่นไร ไม่ใช่แค่คนได้ยินเท่านั้นที่ฟังแล้วมีความสุข คนพูดอย่างคุณก็จะหัวใจพองโตไปด้วยที่ทำให้เขาตื้นตันได้ 

           ช่วยงานเพื่อนบ้าน อย่างช่วยคุณป้าข้างบ้านถอนหญ้า อาสาไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้คุณลุง (แบบว่าบังเอิญคุณจะออกไป 7-11 พอดี) เรื่องเหล่านี้จะช่วยให้คุณลืมปัญหาของตัวเองไปได้ และแอบสุขใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น

           ชวนเพื่อนคุยถึงเรื่องความตั้งใจที่เขา หรือเธอกำลังจะทำให้สำเร็จ มันจะช่วยให้คุณลืมความยุ่งยากของตัวเองไปได้อีกนั่นแหละ และยังได้เห็นเพื่อนของคุณดูกระตือรือร้นที่จะพูดเรื่องความตั้งใจของตัวเองให้คุณฟังด้วยนะ (เหมือนกับเวลาที่เห็นใครสักคนตั้งใจฟังเรื่องของคุณ คุณก็กระตือรือร้นที่จะเล่าเหมือนกันใช่ไหมล่ะ)

           วิ่งรอบบ้าน ดูเหมือนเป็นวิธีบ้า ๆ แต่ลองทำดูนะ คุณจะรู้สึกว่าพอหัวใจได้เต้นแรง เลือดได้สูบฉีด ได้ออกแรงเหงื่อออกท่วมตัวดูสักทีแล้วช่วยให้หายเครียดได้อย่างไม่น่าเชื่อ (ตบท้ายด้วยการนั่งพัก แล้วไปอาบน้ำ จะสดชื่นมากกกก)

หัวเราะ

           หัวเราะออกมาดัง ๆ ถึงตอนแรกจะขำขันออกมาแบบจำใจก็เถอะ แต่อย่าหยุดนะ ตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวสักพักมันจะหัวเราะไหลลื่นไปเองจริง ๆ (บวกกับความรู้สึกในใจ นี่เราเป็นบ้าอะไรหว่าเนี่ย)

           ฮัมเพลงโปรด ไม่ว่าจะเป็นเพลงกล่อมเด็กที่ร้องได้ติดหู หรือเพลงฮิตสมัยคุณยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ร้องแล้วโยกตัวโยกหัวตาม มันช่วยบิลท์อารมณ์สุนทรีย์และรอยยิ้มได้จริง ๆ นะ

           ดูหนังซับนรก .. วิธีนี้ทำได้ง่ายมาก เพียงเข้าเว็บไซต์ยูทูบ แล้วเสิร์ชคำว่า "ซับนรก" แล้วจะเจอกับสารพันความบันเทิงมากมาย ขอบอกว่าฮาจริงอะไรจริง ต้องลอง!

          มีเรื่องง่าย ๆ ทำให้คุณยิ้มได้ตั้งหลายอย่าง วันไหนอารมณ์ขุ่นหมองลองหาทางที่จะเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของตัวเองกลับมา ได้ยิ้มสักนิด ได้หัวเราะสักหน่อย รับรองว่ามันจะค่อย ๆ ฉุดจิตใจที่ห่อเหี่ยวเหมือนบอลลูนที่ถูกสูบลมออกจนแฟ่บ ให้กลับมาฟูพองล่องลอยละลิ่วไปได้อีกครั้งแน่นอน .. ยิ้มวันละนิดจิตแจ่มใส มันได้ผลจริง ๆ นะ หันมายิ้มให้กันหน่อยสิจ๊ะคนดี ^____^ 

10 อาหารอุดมแคลเซียม ที่จะช่วยคุณลดน้ำหนักได้




          สาว ๆ ที่กำลังควบคุมน้ำหนักรู้อะไรไหมเอ่ย ว่าสารอาหารสำคัญอย่างแคลเซียม นอกจากจะดีต่อกระดูกและฟันแล้ว ยังช่วยให้คุณลดน้ำหนักอย่างเห็นผลได้ด้วยนะคะ มีผลการวิจัยและทดลองพบว่าแคลเซียมมีส่วนช่วยควบคุมระบบการเมตาบอลิซึมหรือกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยจะไปขัดขวางการสร้างและสะสมไขมัน ทำให้ร่างกายสามารถดึงไขมันส่วนนี้มาเผาผลาญได้มากขึ้น ช่วยให้ลดพุงกะทิ รอบเอวหนา ต้นขาใหญ่ อย่างเห็นผลเลยล่ะ

          รู้อย่างนี้แล้วก็ชักจะอยากกินอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมกันซะตอนนี้เลยใช่ไหมล่ะ ร่างกายของเราต้องการแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารอย่างแรกที่ใคร ๆ นึกถึงก็คงหนีไม่พ้น "นม" แหล่งแคลเซียมชั้นดีนั่นเอง แต่ถ้าจะดื่มนมเพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก ก็ต้องเลือกเป็นนมแบบพร่องมันเนย หรือแบบแคลเซียมสูงนะคะ และนอกจากนมแล้ว ก็ยังมีอาหารอีกหลายอย่างทีเดียวที่เป็นแหล่งของแคลเซียมชั้นเลิศให้กับคุณได้ ลองมาดู 10 อาหารอุดมแคลเซียมเหล่านี้ ซึ่งเราหยิบข้อมูลดี ๆ มาฝากกันจากเว็บไซต์ Reader Digest  กันดีกว่าค่ะ โดยข้อมูลในที่นี้จะเป็นปริมาณแคลเซียมที่ได้จากอาหาร 100 กรัมนะคะ

เรื่องสุขภาพ

      1. งา

           ให้แคลเซียม 227 มิลลิกรัม คิดเป็น 28% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ออนซ์ (ประมาณ 28 กรัม) ให้พลังงาน 160 แคลอรี่ 

      2. กวางตุ้งฮ่องเต้ (Bok Choy)

           ให้แคลเซียม 158 มิลลิกรัม คิดเป็น 16% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ถ้วย ให้พลังงาน 20 แคลอรี่ 

      3. ทาฮินี่ (Tahini คืองาบดจนข้นเป็นครีม เป็นอาหารพื้นเมืองจากแถบตะวันออกกลาง)
           ให้แคลเซียม 112 มิลลิกรัม คิดเป็น 12% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 2 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 160 แคลอรี่

      4. ครีมชีส
           ให้แคลเซียม 98 มิลลิกรัม คิดเป็น 10% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน

           ปริมาณการบริโภค : 1 ออนซ์ (ประมาณ 28 กรัม) ของครีมชีสชนิดพร่องมันเนย ให้พลังงาน 29 แคลอรี่

      5. คะน้า
           ให้แคลเซียม 93 มิลลิกรัม คิดเป็น 9% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ถ้วย ให้พลังงาน 36 แคลอรี่

เรื่องสุขภาพ

      6. อัลมอนด์ 

           ให้แคลเซียม 75 มิลลิกรัม คิดเป็น 8% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ออนซ์ (อัลมอนด์ประมาณ 22 เมล็ด) ให้พลังงาน 170 แคลอรี่

เรื่องสุขภาพ

      7. บร็อคโคลี่

           ให้แคลเซียม 62 มิลลิกรัม คิดเป็น 6% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ถ้วย ให้พลังงาน 55 แคลอรี่

      8. ปวยเล้ง (spinach หรือผักโขมอย่างที่เราเรียกกัน ความจริงคือปวยเล้งนะคะ)

           ให้แคลเซียม 60 มิลลิกรัม คิดเป็น 6% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 2 ถ้วย ให้พลังงาน 14 แคลอรี่

      9. วอเตอร์เครส 
           ให้แคลเซียม 40 มิลลิกรัม คิดเป็น 4% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ถ้วย ให้พลังงาน 4 แคลอรี่

      10. โรมาโนชีส

           ให้แคลเซียม 298 มิลลิกรัม คิดเป็น 30% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน 

           ปริมาณการบริโภค : 1 ออนซ์ (ประมาณ 28 กรัม) ให้พลังงาน 108 แคลอรี่


          รู้จักวัตถุดิบอุดมแคลเซียมตั้ง 10 ชนิดแล้ว คราวนี้ไปนั่งนึกเมนูกันดีกว่า ว่าสิ่งเหล่านี้จะเอามาทำอะไรกินดี เอาแบบอร่อย ๆ ไม่มัน ไม่เลี่ยน และกินแล้วต้องออกแรงเผาผลาญพลังงานที่ได้ให้หมดด้วยนะคะ จึงจะได้ประโยชน์จากแคลเซียมไปช่วยควบคุมน้ำหนักกันเต็ม ๆ ไงล่ะ ^^